ฐานราก (Footing)

0

“เราเป็นมากกว่าบริษัทรับออกแบบและก่อสร้าง เพราะนอกจากงานก่อสร้างรีโนเวทและตกแต่งแล้ว เรายังให้ความรู้ที่สำคัญในงานก่อสร้างด้วย เพราะทุกๆความรู้นั้นย่อมนำมาซึ่งการพัฒนางานก่อสร้างได้อย่างยั่งยืน”

ฐานราก (Footing)

ฐานราก (Footing)

ฐานราก (Footing) หัวใจสำคัญของความมั่นคงในงานก่อสร้าง

ฐานราก (Footing) ในการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือ “ฐานราก” ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน ทำหน้าที่รองรับและกระจายน้ำหนักจากโครงสร้างด้านบนไปยังชั้นดินด้านล่างอย่างสมดุล ฐานรากไม่ได้เป็นเพียงส่วนที่ช่วยให้อาคารมั่นคง แต่ยังเป็นเกราะป้องกันปัญหาการทรุดตัวและการเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การเลือกประเภทและการออกแบบฐานรากที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่วิศวกรและสถาปนิกต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างโครงสร้างที่แข็งแรงและปลอดภัย

ฐานราก (Footing) คืออะไร?

ฐานราก (Footing) คือส่วนสำคัญของโครงสร้างที่อยู่ใต้พื้นดิน มีหน้าที่รับน้ำหนักจากส่วนโครงสร้างด้านบน เช่น เสา คาน ผนัง และหลังคา และกระจายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินด้านล่าง ฐานรากมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มความมั่นคง แข็งแรง และลดความเสี่ยงของการทรุดตัวหรือการเอียงของอาคาร การเลือกฐานรากที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทของโครงสร้างและสภาพของดินในพื้นที่ เช่น ดินเหนียว ดินทราย หรือดินแข็ง หากฐานรากได้รับการออกแบบและติดตั้งอย่างถูกต้อง จะช่วยให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ทนทาน และลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว เช่น การแตกร้าวของอาคารหรือการทรุดตัว

ฐานราก (Footing) มีกี่ประเภท?

ฐานรากสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท โดยพิจารณาตามลักษณะการใช้งานและสภาพดินในพื้นที่ก่อสร้างหลัก ๆ ฐานรากมี 3 ประเภท ดังนี้

1. ฐานรากแผ่ (Spread Footing) ฐานรากประเภทนี้เป็นแผ่นคอนกรีตที่มีลักษณะกว้างกว่าหน้าเสา มีหน้าที่กระจายน้ำหนักจากเสาไปยังชั้นดินด้านล่างโดยตรง เหมาะสำหรับโครงสร้างที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น บ้านพักอาศัยหรืออาคารขนาดเล็ก ฐานรากแผ่เหมาะกับพื้นที่ที่ดินมีความแข็งแรงพอสมควร และมีข้อดีคือใช้งบประมาณต่ำและก่อสร้างได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ดินอ่อนหรือมีโอกาสทรุดตัวสูง ฐานรากประเภทนี้อาจไม่เหมาะสม เนื่องจากอาจเกิดการทรุดตัวของอาคารได้

ฐานราก (Footing)
ฐานรากแผ่

2. ฐานรากเสาเข็ม (Pile Foundation) ฐานรากเสาเข็มถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในพื้นที่ที่ดินมีความแข็งแรงน้อยหรือดินอ่อน โดยการถ่ายน้ำหนักจากโครงสร้างผ่านเสาเข็มลงไปยังชั้นดินที่มีความแข็งแรง เช่น ชั้นดินแข็งหรือชั้นหิน ฐานรากประเภทนี้เหมาะสำหรับอาคารสูงหรือโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น ตึกสูง สะพาน หรือโรงงาน ข้อดีของฐานรากเสาเข็มคือช่วยลดการทรุดตัวในพื้นที่ดินอ่อน และมีความสามารถในการรองรับน้ำหนักมาก แต่ต้นทุนการก่อสร้างมักจะสูงกว่า และต้องใช้เครื่องจักรพิเศษสำหรับการตอกเสาเข็ม

ฐานราก (Footing)
ฐานรากเสาเข็ม

3. ฐานรากลอย (Floating Foundation) ฐานรากลอยเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ดินมีการทรุดตัวสูง โดยหลักการของฐานรากนี้คือการถ่ายน้ำหนักโครงสร้างทั้งหมดไปกระจายบนพื้นผิวดินที่กว้างขึ้น เพื่อให้เกิดการสมดุลระหว่างน้ำหนักของอาคารและดินด้านล่าง ฐานรากลอยนิยมใช้ในโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ดินอ่อนหรือพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงของดิน เช่น อาคารในเขตน้ำท่วมขัง ข้อดีของฐานรากลอยคือช่วยลดแรงกดดันของอาคารต่อดิน ทำให้การทรุดตัวเกิดขึ้นในอัตราที่สม่ำเสมอ แต่ข้อจำกัดคืออาจไม่เหมาะกับโครงสร้างที่มีน้ำหนักมาก

การเลือกฐานรากให้เหมาะกับงาน มีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้

การเลือกฐานรากที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการก่อสร้างโครงสร้างใด ๆ เพื่อให้มีความมั่นคงและปลอดภัย ด้านล่างนี้คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาพร้อมรายละเอียดในแต่ละหัวข้อ

1. ลักษณะของดินในพื้นที่ก่อสร้าง

ก่อนเลือกฐานราก จำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติของดินในพื้นที่ เช่น ความแข็งแรงของดิน ระดับการอุ้มน้ำ และความลึกของชั้นดินแข็ง ตัวอย่างเช่น หากดินมีความแข็งแรงปานกลางถึงสูง ฐานรากแผ่ (Spread Footing) อาจเพียงพอ แต่หากดินเป็นดินอ่อน เช่น ดินเหนียวหรือดินทราย จำเป็นต้องใช้ฐานรากเสาเข็ม (Pile Foundation) หรือฐานรากลอย (Floating Foundation) เพื่อรองรับน้ำหนักได้ดีขึ้น การตรวจสอบดินสามารถทำได้โดยการจ้างวิศวกรธรณีเทคนิคเพื่อตรวจสอบและให้คำแนะนำ

2. น้ำหนักและลักษณะของโครงสร้าง

น้ำหนักของโครงสร้างเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกฐานราก หากโครงสร้างมีน้ำหนักเบา เช่น บ้านเดี่ยวหรืออาคารชั้นเดียว ฐานรากแผ่อาจเพียงพอ แต่หากเป็นโครงสร้างที่มีน้ำหนักมาก เช่น ตึกสูง หรือโรงงาน ฐานรากเสาเข็มจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถรับน้ำหนักได้มากและลดโอกาสการทรุดตัวได้ดีกว่า การคำนวณน้ำหนักรวมของโครงสร้างจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่วิศวกรโครงสร้างจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด

3. สภาพแวดล้อมของพื้นที่

สภาพแวดล้อม เช่น ระดับน้ำใต้ดิน พื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ หรือพื้นที่ที่มีการสั่นสะเทือนบ่อย เช่น เขตแผ่นดินไหว มีผลต่อการเลือกฐานราก หากพื้นที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง อาจต้องใช้ฐานรากที่มีการออกแบบพิเศษ เช่น ฐานรากที่มีการเสริมคอนกรีตกันซึม หรือฐานรากลอยเพื่อลดผลกระทบจากน้ำ การพิจารณาสภาพแวดล้อมช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว

4. งบประมาณในการก่อสร้าง

ฐานรากแต่ละประเภทมีต้นทุนที่แตกต่างกัน ฐานรากแผ่มีต้นทุนต่ำที่สุด แต่เหมาะกับดินที่แข็งแรงและโครงสร้างเบา ในขณะที่ฐานรากเสาเข็มและฐานรากลอยมีต้นทุนสูงกว่า เนื่องจากต้องใช้วัสดุและเครื่องจักรพิเศษ การวางแผนงบประมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถเลือกฐานรากที่ตอบโจทย์ได้โดยไม่เกินงบ

5. ข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานวิศวกรรม

การเลือกฐานรากต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานวิศวกรรม เช่น ความลึกของฐานราก การออกแบบโครงสร้าง และการทดสอบดิน หากไม่ปฏิบัติตาม อาจเกิดปัญหาทางกฎหมายหรืออาคารไม่ปลอดภัยในอนาคต วิศวกรที่มีใบอนุญาตจึงควรเป็นผู้ช่วยตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างฐานรากตรงตามมาตรฐาน

ฐานราก (Footing)
ฐานราก (Footing)

หลักการคำนวณทางวิศวกรรมสำหรับฐานราก เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับมือใหม่

การคำนวณฐานรากเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับน้ำหนักโครงสร้าง ดิน และการกระจายน้ำหนัก เพื่อให้ฐานรากสามารถรับน้ำหนักอาคารได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย ด้านล่างนี้คือหลักการคำนวณเบื้องต้นที่เหมาะสำหรับมือใหม่

1. กำหนดน้ำหนักของโครงสร้าง (Load Calculation)

น้ำหนักโครงสร้างทั้งหมด (Total Load) ประกอบด้วย

น้ำหนักคงที่ (Dead Load) น้ำหนักของวัสดุก่อสร้าง เช่น คาน เสา ผนัง หลังคา เป็นต้น

น้ำหนักจร (Live Load) น้ำหนักที่เกิดจากการใช้งาน เช่น เฟอร์นิเจอร์ คนที่อยู่อาศัย หรือเครื่องจักร

น้ำหนักเพิ่มเติม เช่น แรงลม หรือแรงแผ่นดินไหว (กรณีพื้นที่เสี่ยงภัย)

สูตรพื้นฐาน Wtotal=Wdead+Wlive+WadditionalWtotal​=Wdead​+Wlive​+Wadditional​

โดยน้ำหนักแต่ละส่วนสามารถหาได้จากตารางมาตรฐานของวัสดุก่อสร้าง

2. ประเมินค่าความสามารถรับน้ำหนักของดิน (Bearing Capacity)

ค่าความสามารถในการรับน้ำหนักของดิน (Bearing Capacity) คือปริมาณน้ำหนักที่ดินในพื้นที่ก่อสร้างสามารถรองรับได้โดยไม่เกิดการทรุดตัว โดยดินแต่ละประเภทจะมีค่าความสามารถรับน้ำหนักแตกต่างกัน เช่น

– ดินเหนียว 1.5-2.5 ตัน/ตร.ม.

– ดินทราย 2.5-3.5 ตัน/ตร.ม.

– ดินแข็งหรือหิน มากกว่า 5 ตัน/ตร.ม.

ข้อมูลนี้ได้จากการทดสอบดินในพื้นที่ เช่น การทดสอบ SPT (Standard Penetration Test)

3. คำนวณพื้นที่ฐานรากที่ต้องการ (Footing Area)

เมื่อทราบน้ำหนักอาคารทั้งหมดและค่าความสามารถรับน้ำหนักของดินแล้ว สามารถคำนวณพื้นที่ฐานรากที่ต้องการได้

สูตรคำนวณ Afooting = Wtotal / QallowableAfooting

4. ออกแบบรูปร่างและขนาดของฐานราก

หลังจากได้พื้นที่ฐานราก ควรออกแบบให้ฐานรากมีรูปร่างและขนาดที่เหมาะสม เช่น ฐานรากแผ่อาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมคางหมู โดยคำนึงถึงตำแหน่งเสาและพื้นที่การกระจายน้ำหนัก

ตัวอย่าง หากน้ำหนักรวมเท่ากับ 100 ตัน และค่าความสามารถรับน้ำหนักของดินเท่ากับ 2 ตัน/ตร.ม.

Afooting=1002=50 ตร.ม.Afooting​=2100​=50ตร.ม.

ดังนั้น พื้นที่ฐานรากต้องมีขนาด 50 ตร.ม.

5. ตรวจสอบความมั่นคงและความปลอดภัย (Factor of Safety)

เพื่อให้มั่นใจว่าฐานรากสามารถรองรับน้ำหนักได้ในระยะยาว ควรใช้ค่าความปลอดภัย (Factor of Safety, FS) โดยทั่วไป FS = 2-3 ซึ่งหมายความว่า ฐานรากต้องรับน้ำหนักได้มากกว่า 2-3 เท่าของน้ำหนักรวม

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

– ควรปรึกษาวิศวกรที่มีประสบการณ์สำหรับการคำนวณที่ซับซ้อน

– ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยคำนวณ เช่น AutoCAD หรือ SAP2000 สำหรับการออกแบบรายละเอียด

– ทำการตรวจสอบข้อมูลดินในพื้นที่ก่อสร้างอย่างละเอียด

ผลกระทบจากการใช้ฐานราก (Footing) ผิดประเภท

การเลือกฐานรากผิดประเภทอาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงในโครงสร้างอาคาร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้านล่างนี้คือผลกระทบสำคัญที่อาจเกิดขึ้น พร้อมรายละเอียด

1. การทรุดตัวของอาคาร (Settlement Problems) การใช้ฐานรากที่ไม่เหมาะสมกับสภาพดิน เช่น การใช้ฐานรากแผ่ในพื้นที่ดินอ่อน อาจทำให้อาคารทรุดตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยร้าวที่ผนัง พื้น หรือโครงสร้างหลัก ซึ่งนอกจากจะทำให้อาคารเสียหายแล้ว ยังอาจทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่สามารถใช้งานพื้นที่บางส่วนได้ หรือในกรณีที่ร้ายแรงอาคารอาจทรุดจนถึงขั้นใช้งานไม่ได้เลย

2. ความเสียหายจากแรงกระทำภายนอก (External Load Damage) หากฐานรากไม่ได้รับการออกแบบให้รองรับน้ำหนักเพิ่มเติม เช่น แรงลมหรือแรงแผ่นดินไหว อาคารอาจเกิดการโยกหรือเอียง ทำให้โครงสร้างเสาหรือคานเสียหายได้ ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว ฐานรากที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้โครงสร้างพังทลายทันทีเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน

3. การสูญเสียความแข็งแรงและอายุการใช้งานของโครงสร้าง (Reduced Structural Lifespan) ฐานรากที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้น้ำหนักจากอาคารถูกกระจายไปยังพื้นที่ดินอย่างไม่สมดุล ส่งผลให้โครงสร้างเกิดแรงดึง แรงอัด หรือแรงบิดเกินกว่าที่วัสดุจะรับได้ ส่งผลให้อาคารเสียความแข็งแรงเร็วกว่าที่ควรและลดอายุการใช้งาน

4. ต้นทุนการซ่อมแซมที่สูง (High Repair Costs) การแก้ไขปัญหาฐานรากที่ไม่เหมาะสมในภายหลังมักมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การเสริมเสาเข็ม การอัดฉีดดิน หรือการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังอาจต้องหยุดการใช้งานอาคารในช่วงเวลาซ่อมแซม ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ

ฐานรากที่ผิดประเภทอาจทำให้โครงสร้างเสียหายอย่างรุนแรง เช่น การพังถล่มของอาคารในกรณีที่ฐานรากไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ตามที่ออกแบบไว้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตต่อผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้งาน

6. การละเมิดข้อกำหนดทางกฎหมาย (Legal Issues) การใช้ฐานรากผิดประเภทอาจเป็นการละเมิดมาตรฐานการก่อสร้างที่กำหนดโดยกฎหมาย หากอาคารเกิดปัญหา เช่น ทรุดตัวหรือพังถล่ม อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย นำไปสู่ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและการเสียชื่อเสียงของผู้เกี่ยวข้อง

ฐานราก (Footing) คือส่วนสำคัญของโครงสร้างที่อยู่ใต้ดิน มีหน้าที่รับน้ำหนักจากโครงสร้างด้านบนและกระจายน้ำหนักไปยังชั้นดินอย่างสมดุล เพื่อให้โครงสร้างมีความมั่นคงและปลอดภัย ฐานรากมีหลายประเภท เช่น ฐานรากแผ่ ฐานรากเสาเข็ม และฐานรากลอย ซึ่งการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสภาพดิน น้ำหนักของโครงสร้าง และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ หากเลือกฐานรากผิดประเภทอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น การทรุดตัว การพังทลายของอาคาร หรือการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูง

การคำนวณฐานรากต้องอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยหลายอย่าง เช่น น้ำหนักของโครงสร้าง ค่าความสามารถรับน้ำหนักของดิน และแรงกระทำจากปัจจัยภายนอก การคำนวณที่ถูกต้องและการออกแบบที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในระยะยาว

ฐานราก (Footing) เป็นจุดเริ่มต้นของความแข็งแรงในทุกโครงสร้าง หากฐานรากถูกออกแบบและก่อสร้างอย่างถูกต้อง อาคารจะมีความมั่นคงและสามารถรองรับน้ำหนักได้ตามที่ออกแบบไว้ อย่างไรก็ตาม การละเลยหรือเลือกฐานรากผิดประเภทอาจนำมาซึ่งปัญหาที่ซับซ้อนและส่งผลเสียต่อทั้งอาคารและผู้ใช้งาน ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการวางแผน การตรวจสอบดิน และการปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเป็นขั้นตอนที่จำเป็น เพื่อให้ฐานรากกลายเป็นรากฐานที่แข็งแรงและมั่นคงสำหรับทุกโครงสร้างในอนาคต

>> ฐานรากกับรายละเอียดประเภท คลิก

>> รีโนเวทให้ประหยัด ทำอย่างไร คลิก

“เราเป็นมากกว่าบริษัทรับออกแบบและก่อสร้าง เพราะนอกจากงานก่อสร้างรีโนเวทและตกแต่งแล้ว เรายังให้ความรู้ที่สำคัญในงานก่อสร้างด้วย เพราะทุกๆความรู้นั้นย่อมนำมาซึ่งการพัฒนางานก่อสร้างได้อย่างยั่งยืน” บริษัทเรารับออกแบบตกแต่งภายในร้านอาหารทุกประเภทด้วยมัณฑนากรมืออาชีพและทีมช่างคุณภาพประสบการณ์มากกว่า20ปี โดยท่านสามารถส่งความต้องการมาหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้

สนใจติดต่อ งานออกแบบตกแต่งภายในและรีโนเวทอาคาร

        • นัดดูหน้างานได้ที่ 095-864-6299
        • ส่งภาพหน้างานและพูดคุยได้ที่ Line
          เพิ่มเพื่อน
        • Email : thaimawee@hotmail.com
        • ติดตามเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/weeinterior

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *